วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2563

ความเชื่อเรื่อง ทำเพื่อมนุษยชาติ กับ ความเชื่อเรื่องทำเพื่อประเทศชาติ

สิบกว่าปีก่อน ปธ. บารัค โอบามา พูดถึงนโยบาย "เพื่อมนุษยชาติ"
ผมไม่เคยเข้าใจความหมายจริงๆ ของมัน อาจเพราะไม่ค่อยให้ความสนใจมัน

ภาวะผู้นำโลกที่มีผลต่อเศรษฐกิจ หลายประเทศทำให้ ประเทศอื่นๆต้องปรับตัวปรับ

ในยุค ปธน. บารัค โอบามา ที่มีนโยบาย "เพื่อมนุษยชาติ"

     ทำให้ประเทศส่วนใหญ่เปิดเสรีทางการค้า ห่มแดนระหว่างประเทศเพื่อนบ้านจางลง
ขอบเขตมันขยายใหญ่เป็นการพูดถึง อาเซียน   มีการลดกำแพงภาษีระหว่างประเทศเป็นศูนย์
เปิดให้ประชาชนเดินทางข้ามไปหากันง่ายขึ้น ทั้งไปในฐานะท่องเที่ยวการค้าหรือแรงงาน 
กฎหมายปรับเปลี่ยนให้คนต่างชาติมากขึ้น  ที่โรงเรียนมีการสอดแทรกสอนภาษาของกลุ่มอาเซียนด้วยกัน
     ที่แรงกว่าคือ โลกโซเชียล ที่ทลายเส้นกำแพงประเทศลง อย่างรุนแรงและรวดเร็ว

คนกลุ่มนี้เชื่อว่า ทุกปัญหา ปรึกษาหาทางออกร่วมกันได้ เพียงแต่  "ให้เกียรติเคารพสิทธิ์ผู้อื่น"  แล้วเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวบ้างส่วนบ้าง ไม่มีใครได้ถูกใจตัวเองทั้งหมด ในการแก้ปัญหาร่วมกันก็ไม่มีสูตรสำเร็จ อะไรที่ตกลงกันไว้ บ้างฝ่ายกลับไปทำแล้วเจอปัญหาที่ตนยังไม่รู้ แล้วทำไม่ได้ก็ต้องแจ้งกันแล้วกลับเข้าที่ประชุมคุยกันใหม่ ช่วยกันแก้ไข หลายอย่างไม่ง่ายและต้องใช้เวลาพิสูจน์และปรับเปลี่ยนให้พอเหมาะกับทุกฝ่าย



แต่ไม่ใช่ทุกคนจะชอบมัน การปรับเปลี่ยนให้ถูกใจมันช้าและหลายคนไม่คิดว่าตนต้องเสียสละ นั้นเป็นเหตุให้ ดอนัลด์ ทรัมป์  ดึงจุด "เพื่อประเทศชาติ" ออกมาขาย  

ในยุค ปธน. ดอนัลด์ ทรัมป์ ที่มีนโยบาย "เพื่อประเทศชาติ"

      เพื่อเปลี่ยนระบบกลับไปเป็นแบบเดิม ตั้งกำแพงภาษีขึ้นให้สูงเหมือนเดิม กีดกันชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศ
ใช้กำลังอำนาจ บังคับคู่แข่งทั้งด้านทหารและเศรษฐกิจให้ยอมตามเงื่อนไขตน 
      ทรัมป์ แสดงให้โลกเห็นว่า เพื่อประเทศเรารอด เพื่อคนของเราให้รอด ถ้ามันจำเป็นอเมริกาจะทิ้งระเบิดใส่ประเทศที่ขัดผลประโยชน์ แบบไม่สนใจใคร 
      แต่ผมเชื่อว่า  ปธน.ทรัมป์ เองก็ไม่กล้าปรับให้มันเหมือนแบบเดิมหมด สุดท้ายก็ทำได้แค่ปรับกลับนิดหน่อยๆ เพื่อออกใจกลุ่มคนที่ปรับตัวไม่ทันที่ให้คะแนนเสียงตัวเองมา
     
     


โดยส่วนตัว กว่าผมจะเข้าใจคำว่า "เพื่อมนุษยชาติ"  คืออะไรต่างจาก "เพื่อประเทศชาติ" ยังไงก็จน
เห็นผลงานของ ปธน. ดอนัลด์ ทรัมป์

         และทำให้เข้าใจความหมายของ
               "ให้เกียรติเคารพสิทธิ์ผู้อื่น"  นั้นต่างจาก  "ให้เกียรติเคารพผู้ใหญ่ผู้อาวุโส"  

        ต้องยอมรับว่าชาวตะวันตก บ้างส่วน นำวัฒนะธรรม ชาวตะวันออกไปประยุคใช้ให้เข้ากับสังคมปัจจุบันได้ดี (ถึงแม้ไม่ใช่ทุกคน) เห็นได้จากชาวยุโรปส่วนใหญ่ ให้เกียรติคนต่างชาติต่างภาษาต่างสีผิวต่างฐานะ ได้ดีกว่า ชาวเอเซียที่มองชาวยุโรป










จงเข้าให้ถึง จิตวิญญาน แห่งความ สดชื่นเบิกบานตื่นตัวไม่เหงาหงอย

เช้าวันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมา อากาศแจ่มใส่
แสงแดดอ่อนๆ ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป
หายใจเข้าเต็มปอด รู้สึกผ่อนคลาย
ไม่ต้องกังวนกับเรื่องอะไร 
ไม่วุ่นวายกับการงาน การหาเลี้ยงชีพในแบบที่วุ่นวาย
และไม่มีมีอันตรายใดๆ  จึงไม่ต้องกังวนต่ออนาคต
และไม่ต้องเสียใจกับอดีต
มีเพียงความรู้สึกสบายๆผ่อนคลาย ในปัจจุบัน
และจิตใจที่สดชื่นเบิกบานตื่นตัวไม่เหงาหงอย

เราขอให้ท่านปลดปล่อยตัวเองจาก เครื่องพันธนาการเศร้าหมอง เหล่านั้น
  จงเข้าให้ถึง จิตวิญญาน แห่งความ สดชื่นเบิกบานตื่นตัวไม่เหงาหงอย  

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

อายุ 50แล้ว ยังไม่มีเงินเก็บ ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ

มีคนเยอะมาก ที่อายุเข้าวัยชรา หรือ ใกล้วัยชรา  แต่ถ้าคุณคิดว่าอายุ 60ปี - 80ปี แบบไม่มีงานทำต้องอาศัยเงินเก็บ
-กลุ่มที่ 1  ยังไม่มีบ้านเป็นของตนเอง หรือไม่ไม่เงินเก็บ
ในขณะที่
-กลุ่มที่ 2  ก็มีอีกหลายคน พอมีบ้านเก่าๆ มีเงินเก็บอยู่บ้าง หลักหมื่นหรือหลักแสน แต่คงไม่พอใช้แน่ ถ้าคุณอายุ 60 แล้วมีชีวิตถึง 70
แบบไม่มีงานทำต้องอาศัยเงินเก็บ
-กลุ่มที่ 3  มีบ้านมีรถ มีเงินเก็บ เป็นหลักล้าน 1-5ล้าน  แต่ถ้าคุณอายุ 60ปี แล้วมีชีวิตถึง 80ปี แบบไม่มีงานทำต้องอาศัยเงินเก็บ
จะพอใช้มั๊ย คราวนี้ละครับ เริ่ม งง  เพราะคำตอบ จะแตกต่างกันไปมากเลยที่เดียว  คน กลุ่มที่ 1 และ กลุ่มที่ 2   อาจเข้าไม่ถึงอารมณ์นี้
-กลุ่มที่ 4  มีบ้านมีรถ มีเงินเก็บ เป็นหลักล้าน 5ล้าน - 20ล้าน  คุณจะแปลกใจว่า คนกลุ่มนี้  ยังไม่อารมณ์ คล้าย กลุ่มที่ 3
คน กลุ่มที่ 1 และ กลุ่มที่ 2   คงยิ่ง งง มากขึ้น  มีเงิน 15ล้าน ยังต้องกลัวอีกเหรอ
-กลุ่มที่ 5  มีเงินเก็บ มาก 20ล้าน -100ล้าน
-กลุ่มที่ 6  มีเงินเก็บ มาก 100ล้าน ขึ้นไป พันล้าน หมื่นล้าน

ทุกๆกลุ่ม อยู่ภายใต้  "ความวิตกกังวนอนาคต" หรือเรียกสั้นๆว่า  "ความกลัวอนาคต"
เพียงแต่ รายละเอียด อาจแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม
ในขณะที่ กลุ่ม 1 - 2  ยังอยู่ภายใต้  ความกลัวแบบ  "กลัวไม่มีกิน"
กลุ่ม 3 - 4  ยังอยู่ภายใต้  ความกลัวแบบ  "กลัวความสุขแบบสะดวกสบายหายไป"  ( รถยนต์ส่วนตัว ,นอนเปิดแอร์ ,กินอาหารร้านหรู ,เสื้อผ้าแฟชั่น )
กลุ่ม 5 - 6  กลับกลัว จะรักษามันไว้ไม่ได้  จะมีคนอื่น บริษัทอื่น มาแย่งมันไป
----------
ไม่แปลกที่เราจะมี  ความวิตกกังวนต่ออนาคต  ปีค.ศ.2019 ผมอายุ 51ปี  เข้ามาเป็นคนกลุ่มที่ 3 พึ่งมียังไม่ครบ 10ปี   วัยสี่สิบปลายๆผมก็ไม่มีอะไรเลย
พอเริ่มมีเงินเก็บหลักล้าน แล้วพึ่งมีลูก 4ขวบ ความวิตกกังวนต่ออนาคต  มันก็เปลี่ยนไปอีกแบบ  คิดว่าถ้าผมสามารถขยับเงินเก็บไปที่ 15-20ล้าน
คงจะดี แล้วผมก็ถามตัวเองว่าดียังไงเราจะไม่ความวิตกกังวนต่ออนาคตเหรอ ลองดูคนที่เขามีมั๊ยเขาเป็นยังไง (ก็พอรู้จักความรวยอยู่นะ) พอดูเขาแล้วไม่รู้สึกว่า
เขาดีไปกว่าเราเท่าไร ( บ้างคนคุณภาพชีวิตแย่กว่าผมอีก ผมวัดจากภาพรวมอารมณ์จิตใจ สุขภาพร่างกาย การเที่ยวพักผ่อน  ) 
งั้นดูกลุ่ม 5 - 6   คงเทียบได้ยากเพราะรู้จักแต่ในข่าว ไม่รู้จักตัวตนจริงๆ
---------
2-3เดือน ก่อน ผมได้ดูโพสต์ในเฟสบุ๊ค (ขออภัยที่จำชื่อผู้โพสต์กับชื่อยายทวดไม่ได้) มียายทวดคนหนึ่ง อายุ 90ปี  ยายทวดยังแข็งแรงมาก หูตา ก็ยังดี น้ำเสียงยังชัดสดใส ยายทวดขายกล้วยทอด
ทุกวัน ยายทวดจะ ทำกล้วยทอดแล้วเข็นรถเข็นไปขาย ยายทวดขายถูก ( ถ้าจำไม่ผิด 4-5ชิ้น ราคา10 บาท ) เท่าที่เห็น ในคลิปชิ้นก็ไม่เล็ก ทำสะอาด
คงด้วยเหตุนี้ ยายทวด ก็ขายหมดทุกวัน กำไรไม่มากแต่พอ ไว้เป็นค่าอาหารค่าน้ำค่าไฟ ส่วนทุนก็เอากลับมาซื้อ กล้วย-แป้ง-น้ำมัน-แก๊ส

*ยายทวด :
"ไม่วิตกกังวนอนาคต"  =
        "ไม่กลัวไม่มีกิน"  เพราะยายไปขายกล้วยทอดมีเงินทุกวัน
        "ไม่กลัวความสุขแบบสะดวกสบายหายไป"   ยายทวด ไม่ต้องใช้เงินไปเที่ยว ไม่ไปกินอาหารหรู ไม่ได้นอนห้องแอร์  ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าสวยงาม
               ไม่เสียค่าแพ็ทเก็จเน็ตมือถือแค่กดโทรรับสายได้ก็พอ   
        "ลูกก็แก่ บ้างคนก็ตายจากไปก่อน หลานก็โต มีเหลนแล้ว  ทุกคนก็ต้องดูแลชีวิตตัวเอง"
        "ไม่กลัวใครมาแย่งกิจการ"
---------
** เขียนไว้เตือนใจตัวเองด้วย บ้างวัน ผมก็เกิด ความวิตกกังวนต่ออนาคต ขึ้นมาอีก  ก็ไม่รู้เพราะอะไร คงเป็นธรรมชาติของคน
** ความวิตกกังวนต่ออนาคต ทำให้เรารู้จักดิ้นรนเตรียมตัว แต่ถ้ามีมากไปก็กลายเป็นทุกข์โดยไม่จำเป็น



และอีกแง่มุม เวลา ทำธุรกิจส่วนตัว


ธุรกิจคุณ มีความเสี่ยงแบบไหน

1. High Risk High Return , ความเสี่ยงสูง - กำไรสูง
2. Low Risk Low Return , ความเสี่ยงต่ำ – กำไรต่ำ
3. High Risk Low Return , ความเสี่ยงสูง - กำไรต่ำ
4. Low Risk High Return , ความเสี่ยงต่ำ – กำไรสูง

ห้างสรรพสินค้า , ร้านโชว์ห่วย อย่าง 7-11 จะค่อยวิเคาะห์ ว่าสินค้าไหน อยู่จุดไหน และเมื่อเวลาผ่านไป
สินค้าหลายตัวจะเปลี่ยนสถานะภาพ พวกเขาจะค่อยกำจัดสินค้า ที่เปลี่ยนเข้าสู่ “ความเสี่ยงสูง - กำไรต่ำ”  ออกไป และค่อยเปลี่ยนตำแหน่งโชว์สินค้า และ โปรโมชั่น ตามสถานะการณ์


แต่ถ้า ธุรกิจคุณ ไม่ได้มีสินค้าความหลากหลาย แล้วดันอยู่ที่ “ความเสี่ยงสูง - กำไรต่ำ” ละ
ผมเคยเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนที่ทำงานเป็นพนักงานบริษัทฟัง ผมบอกว่าที่ผ่านมาผมไปหาประสพประการณ์ และ ( หลังจากผ่านไปเป็น10ปี) ประเมินผลตัวเองได้ว่า ธุรกิจที่ทำและเปลี่ยนไปมา ทั้งหมดอยู่ในสถานะ “ความเสี่ยงสูง – กำไรต่ำ” เพื่อนผมถามว่า ธุรกิจ “ความเสี่ยงสูง – กำไรต่ำ” ใครจะบ้าไปทำ
ในตอนนั้น ผมตอบเพื่อนว่า อธิบายยาก ผมยังไม่สามารถเรียบเรียงตอบเป็นอะไรสั้นให้เข้าใจได้
ให้เข้าลองไปถาม เพื่อนรุ่นพี่ ที่เปิดบริษัททำอยู่สิ พวกเขาเป็นกลุ่มนักวิชาการ อาจจะสรุปเป็นคำตอบสั้นๆให้ได้
และธุรกิจของเขาก็อยู่ในกลุ่ม “ความเสี่ยงสูง - กำไรต่ำ” เหมือนกัน

เหมือนว่า คำถามผม ถูกส่งผ่านจากเพื่อนที่ผมคุยด้วย ไปสู่เพื่อนอีกคนและมันเข้าไปกลุ่มในบริษัท ที่มีแต่นักวิชาการ จากนั้นพวกเขาสรุปเป็น คำจำกัด ความสั้นๆ ออกมา เป็นคำตอบรอยๆ ไม่ทวนคำถามเมื่อตอนผมเดินเข้าไปเยี่ยมบริษัทว่า “ความเสี่ยงสูง – กำไรต่ำ พวกเราทำไมว่ะ 555 นั้นสิ คงเพราะว่าถ้าไม่ทำงานพวกนี้ ก็ไม่ยังรู้ว่าจะทำอะไร ที่ดีกว่านี้ เลยทำไปก็มั๊ง 555”


วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ไขมันในช่องท้อง มีแล้วลดยากกว่าลดความอ้วน

ถ้าคุณมี ไขมันในช่องท้อง การออกกำลังมากๆ อาจลดไขมันในช่องท้องไม่ได้

#เหตุเริ่มจากตรวจสุขภาพประจำปี  หมอบอกให้ผม ลดความอ้วน
บอกตามตรง ผมมี น้ำหนัก 66.5กิโล   สูง 168ซม. ต้องลดความอ้วน ผมนี้ งง มากๆ

หลังจากนั้น เดือนถัดมาผมได้ซื้อ เครื่องชั่งน้ำหนักมาใหม่ มันมีฟังช์ชั่น วัดน้ำหนัก , %ไขมันในร่างกาย , %น้ำในร่างกาย,  ระดับมวลกล้ามเนื้อ,  ระดับไขมันในช่องท้อง     เทียบกับเพศและวัย

*ผลเทียบตาราง ของ เมียและ ผม
-เมีย   น้ำหนักเริ่มอ้วน อย่างอื่นปกติ  ระดับไขมันในช่องท้อง ปกติ
-ผม   ไม่อ้วน แต่ค่า ระดับไขมันในช่องท้อง  เริ่มมีความเสี่ยง


เลยค้นข้อมูล เรื่อง ไขมันในช่องท้อง  ทำไมใช้คำว่า  "เริ่มมีความเสี่ยง"  ฟังดูมันแรงกว่าความว่าเริ่มอ้วน

ได้ความว่า  
"เป็นไขมันในที่อันตรายกว่าไขมันบริเวณอื่นมากที่สุด เผาผลาญออกให้หมดยากกว่าไขมันในบริเวณอื่น"

#มันเป็นต้นเหตุของโรค 
- โรคเบาหวานประเภท 2 
- โรคไขมันในเลือดสูง 
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด 
- โรคหัวใจ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด
- โรคอัลไซเมอร์
- โรคหลอดเลือดสมอง
- ภาวะภูมิแพ้
- ภาวะไขมันพอกตับ
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

ความยากในการ เผาผลาญ ไขมันในช่องท้อง  ถึงขั้น ระดับมีคน เล่น fitness มา15เดือน ได้กล้ามเนื้อใหญ่มา
แต่ ไขมันในช่องท้อง กับลดลงน้อยมากๆ  ( พวกเขาแนะนำกันในกลุ่มว่า ต้องเปลี่ยนและควบคุมอาหาร ด้วยถึงลด ไขมันในช่องท้องได้  )
เป็นปัญหาของ ผู้ชายอายุ 45 ปีขึ้นไป





วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

ทุกข์ คือ อะไร

หลายคนใช้ชีวิตแบบเพลินๆ
แล้วเมื่อถึงวันนึ่ง วันที่ชีวิตไม่เป็นไปตามที่เราปราถนา
"เหมือนคำว่า ไม่เห็นโรงศพ ไม่หรั่งน้ำตา"
เมื่อวันนั้นมาถึง จะมีเพียงเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคุณ ที่จะพาคุณรอดจากสถานะการณ์แย่ๆ นั้น
แล้วอะไรคือ เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคุณ หรือไม่มี
บ้างคนเริ่มตั้งคำถามว่า ทุกข์ คือ อะไร
แด่คนที่กำลัง ตั้งคำถาม

ทุกข์ คือ อะไร 

ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์  ความตายก็เป็นทุกข์
ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ  ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์

ความประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์
มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นนั้นก็เป็นทุกข์

นี้แหละทุกข์ ในอรยสัจจ์

*** คัดลอกจาก หนังสือ  ทำวัตรเช้า-เย็น และมหาสติปัฏฐานสูตร แปล
วัดป่าโสมพนัส อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร




วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ

       ผมคิดว่าผมเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ เหมือนท่านที่บังเอิญแวะเข้ามาอ่าน เพราะคนดังคนรวย พวกเขาจะไม่เสียเวลากับสิ่งเหล่านี้ สิ่งหล่านี้ที่ผมหมายถึงคือ การเรียนรู้ธรรมชาติของชีวิต ถ้าพวกเขาจะทำก็คงแค่ให้โก้เก๋ หรือ เพื่อให้ดูดี ในสายตาสังคมเท่านั้น แต่นั้นก็เป็นธรรมชาติของคนกลุ่มนี้ ก็ไม่ใช่สิ่งผิดอะไรที่เขาจะเป็น

      คนส่วนใหญ่คงเหมือนผม  ในวัยเด็ก ผมเป็นเด็กที่ ธรรมดาที่สุดคนหนึ่ง เรียนไม่เก่ง  คุยไม่เก่ง บุคคิลไม่ร่าเริงแต่ก็ไม่ถึงกับเซื่องซึม  ไม่ใช่เด็กมีเสน่ห์แต่ก็ไม่ถึงกับขี้เร่อย่างรายแรง  สุขภาพก็ไม่แข็งแรงมากแต่ก็ไม่ถึงกับขี้โรค ( แค่เกือบๆ )  กีฬาก็พอเล่นได้แบบสนุกๆ  ดนตรีก็เล่นไม่เป็นร้องเพลงไม่เพาะ  งานศิลปะ หัตถกรรม เป็นสิ่งที่พอทำได้ดีบ้าง
      
       ฐานะทางบ้านในวัยเด็ก บ้างช่วงเกือบรวย บ้างช่วงเกือบจน ( เป็นธรรมดาของการค้าขาย เพื่อนที่ค้าขายอยู่คงเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร  ขออธิบายให้มนุษย์เงินเดือนฟังว่า การค้าขายนั้นโดยปกติจะมีช่วงที่คุณขายได้ดี แต่ในบ้างช่วงคุณก็ขายไม่ได้เลยหรือได้แค่ประคองตัวรอด )

       ผมไม่เคยทำความชั่วอะไรที่ร้ายแรง และก็ไม่เคยทำดีแบบพระเอกฮีโร  เป็นคนดีของสังคมจึงเป็นแค่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้สังคม  และหาทางให้ตนเองไม่เดือดร้อนเพราะสังคม

       ถ้าคุณเป็นพวกกลัวสังคม จะทำให้เดือดร้อน เหมือนผมแสดงว่า คุณต้อง ไม่อยากโด่งดังมีชื่อเสียงมากมาย หรือรวยล้นฟ้า เพราะถ้าคุณอยากได้มัน คุณต้องไม่กลัวว่าสังคมจะทำให้คุณเดือดร้อน

       สิ่งที่ผมพยายามจะบอกคือ คุณต้องปฏิบัติตนหรือมีอาชีพ ให้สอดคล้องกับ ความอยากได้อยากมีอยากเป็นของคุณ ช่างน้ำหนักว่าอะไรคือสิ่งที่เราอยากได้อยากเป็นมากที่สุด  แล้วถ้าปัจจุบันมันยังไม่ใช่ก็มุ่งมั่นปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ระหว่างทางอาจมีอุปสรรค ก็อย่าทุกข์ร้อนหรือกลัวลำบาก แก้ปัญหาไปที่ละด้าน ที่ละข้อ เตือนตัวเองให้เชื่อมั่นและมั่งคง กับสิ่งที่ทำ แล้วพักมีความสุขกับสิ่งที่สำเร็จเล็กน้อยนั้นบ้าง แต่อย่าหยุดนานๆ

      แบบนี้แล้วต่อให้คุณเป็นคนประเภท  "ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ"  เหมือนผม ก็ยังมีคนที่ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองได้ อิจฉา ให้สิ่งที่คุณเป็น
 
       
   
       

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เราศึกษาวิปัสนาเพื่ออะไร

หลายปีก่อน ผมเคยประสบปัญหาชีวิต จิตใจสับสนว่าจะดำเนินชีวิตแบบไหนต่อยังไงดี  ผมเริ่มคิดถึงการนั่งสมาธิ เผื่อจะหยุดความสับสนนั้น แต่จิตใจที่สับสนกังวนทำให้ผม นั่งสมาธิไม่ได้ถึง หนึ่งนาทีด้วยซ้ำ

แต่ผมก็ยังไม่สติพอที่จะบอกตัวเองว่า ความจริงแล้ว การที่เราจะมานั่งสมาธิแบบที่เราทำอยู่นี้ มันได้อะไร เราทำแบบนี้มานานมากแล้ว ตั้งแต่วัยรุ่นจนอายุสามสิบกว่า ไม่มีอะไรดีขึ้น ความจิงแล้วเรามีความรู้อะไรเกี่ยวกับมันมั๊ย นอกจากนั่งหลับตา แล้วรู้สึกหายใจเข้าหายใจออก?  ผมตอบตัวเองว่า "ไม่มีเลย"  เรารู้แค่ว่าคนอื่นเขาก็ทำแบบนี้  ผมเลยบอกตัวเองว่าต่อให้สิ่งที่ทำอยู่ไม่ผิด จิงๆแล้วมันน่ามีอะไรให้ทำมากกว่านั่งหลับตานี้แน่ๆ
"อยู่ดีๆแกก็มานั่งหลับตา หายใจเข้าหายใจออก แล้วก็คิดว่านี้คือการทำวิปัสสนา ถ้าทำแค่นี้แล้วปล่อยวางหรือดับทุกข์ได้  ตอนนี้คงมีอรหันต์เป็นล้านๆ คนเดินอยู่หน้าบ้านเราแล้วมั่ง ( ผมต่อว่าตัวเอง ... ด่ายาวต่อ ) แก่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า พระพุทธเจ้า รู้เรื่องอะไร ถึงได้ประกาศตนว่าเป็น พระพุทธเจ้า แล้ว พระองค์สอนเรื่องอะไรแน่ไม่ใช่ทุกๆเรื่องแน่  แล้วสอนวิธีปฎิบัติยังไงไม่ใช่ทำยังไงก็ได้แน่ เรียกว่าได้ว่าแกไม่มีความรู้พื้นฐานเลยด้วยซ้ำ"

 ผมตอบตัวเองว่า จิงซินะ แบบนี้ เรียกตัวเองว่าชาวพุทธได้ไม่เต็มว่าด้วยซ้ำ    คงต้องเริ่มศึกษากันใหม่

( นี่คือความคิดที่ผมปะติดปะต่อ ขณะที่จิตใจสับสนฟุ่งซ่านไม่มา จากเช้าถึงเย็นไม่ต่ำกว่า 6ชั่วโมง ใครเคยจิตใจสับสนฟุ่งซ่าน คงเข้าใจผมว่าเรื่องแน่นี้ ทำไมคิดนานขนาดนั้น   )
 
พอจะเริ่มศึกษาใหม่ผมกับพบว่า แต่มีตำราสอน มีคนมาเผยแพร่ ความรู้มากมาย แตกแขนงไปมากมาย แล้วจะเริ่มจากไหนดี หลายๆเรื่องอ่านแล้ว ก็ให้ความรู้สึกเบื่อเนื่องจากผมรู้สึกว่าจะรู้ไปทำไม มันไม่ทำให้ชีวิตผมดีขึ้น  บ้างตำราก็ถึงขั้นบ่นว่าวิธีของหลวงพ่อตัวเองดีกว่า แล้วไปดูถูกของหลวงพ่อท่านอื่นต่างๆนานา  มีเรื่องให้ศึกษาเยอะเกินไป แล้วทำหลงทางง่ายมากๆ ( เว้นแต่คุณจะอ่านเอามัน เอาเท่ห์ ก็ไม่ว่ากัน )  

ผมรู้สึกว่ามั่วเอาแบบนี้ไม่ดีแน่ๆ เหมือนมาอ่านเรื่องตรงปลายเหตุ ทำให้มันแตกแขนงออกไปมากมาย ต้องรู้ก่อนว่า จุดประสงค์หลักคืออะไร 

  เอาแบบนี้ละกันคงต้องเริ่มจากกลับไปที่ ความรู้พื้นฐานว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องอะไร มันหมายความว่าไง แล้ววิธีฝึกปฎิบัติตามแนวทางพระองค์เป็นยังไง ดีกว่า

... นับจากวันนั้นมา ผมจึงกล้าพูดว่า ผมเป็น พุทธศาสนิกชนเต็มตัวแล้ว และไม่ว่าจะไปจาก สำนักไหนมีกุศโลบาย สอนยังไง ก็จะเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร  ความรู้ของนักวิชาการใด เยอะล้นออกแนวทาง ก็เข้าใจ ( บางที่ก็อ่านสนุกๆไป ) ใครบรรยัดศัพท์ขึ้นมาใหม่ เมื่อเทียบอารมณ์แล้วก็เข้าใจเจตนาที่เขาต้องการสื่อหรือสอน

_____________________________


( * บทความด้านล่างนี้ คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ  "ทำวัตรเช้า-เย็น และ มหาสติปัฏฐานสูตร แปล"  ของวัดป่าโสมพนัส อ.พรรณานิคม  จ.สกลนคร )

ภิกษุทั้งหลาย! เธอทั้งหลายเข้าใจว่าอย่างไร ?                                         
      ใบไม้สีสปาที่เรากำขึ้นหน่อยหนึ่งนี้มากหรือว่าใบไม้สีสปาที่ยังอยู่บนต้นเหล่านั้นมาก?”
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ" ใบไม้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำขึ้นด้วยฝ่ามือนั้นเป็นของน้อยส่วนใบไม้ที่ยังอยู่บนต้นสีสปาเหล่านั้นย่อมมีมาก
ภิกษุทั้งหลาย!    ฉันใดก็ฉันนั้น ธรรมะส่วนที่เรารู้ด้วยปัญญาอันยิ่งแล้วไม่กล่าวสอนนั้นมีมากกว่าส่วนที่นำมากล่าวสอน   ภิกษุทั้งหลาย เหตุไรเล่าเราจึงไม่กล่าวสอนธรรมะส่วนนั้นๆ?                                                                    
ภิกษุทั้งหลาย!     เพราะเหตุว่าธรรมะส่วนนั้นๆ ไม่ประกอบอยู่ด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเงื่อนต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย ไม่เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความดับ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ   ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง ไม่เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน ฉะนั้น เราจึงไม่กล่าวสอน
ภิกษุทั้งหลาย! ธรรมะไรเล่า เป็นธรรมะที่เรากล่าวสอน? 
ภิกษุทั้งหลาย! ธรรมะที่เรากล่าวสอน คือข้อที่ว่า  

"ความทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ  เหตุเป็นที่เกิดของความทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ  ข้อปฎิบัติเพื่อถึงความดับสนิทของความทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ" 
 

ภิกษุทั้งหลาย! เพราะเหตุไรเล่าธรรมะส่วนนี้เราจึงนำมากล่าวสอน?
ภิกษุทั้งหลาย! เพราะว่าธรรมะส่วนนี้ ประกอบอยู่ด้วยประโยชน์ เป็นเงื่อนต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย  เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด  เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด เป็นไปเพื่อความดับ เป็นไปเพื่อความสงบ   เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม  เป็นไปเพื่อนิพพาน เพราะเหตุนั้นแล เราจึงนำมากล่าวสอน
__________________________
ทุกข์คืออะไร
เหตุให้เกิดทุกข์ คืออะไร
ความดับทุกข์ หมายถึง