มีคนเยอะมาก ที่อายุเข้าวัยชรา หรือ ใกล้วัยชรา แต่ถ้าคุณคิดว่าอายุ 60ปี - 80ปี แบบไม่มีงานทำต้องอาศัยเงินเก็บ
-กลุ่มที่ 1 ยังไม่มีบ้านเป็นของตนเอง หรือไม่ไม่เงินเก็บ
ในขณะที่
-กลุ่มที่ 2 ก็มีอีกหลายคน พอมีบ้านเก่าๆ มีเงินเก็บอยู่บ้าง หลักหมื่นหรือหลักแสน แต่คงไม่พอใช้แน่ ถ้าคุณอายุ 60 แล้วมีชีวิตถึง 70
แบบไม่มีงานทำต้องอาศัยเงินเก็บ
-กลุ่มที่ 3 มีบ้านมีรถ มีเงินเก็บ เป็นหลักล้าน 1-5ล้าน แต่ถ้าคุณอายุ 60ปี แล้วมีชีวิตถึง 80ปี แบบไม่มีงานทำต้องอาศัยเงินเก็บ
จะพอใช้มั๊ย คราวนี้ละครับ เริ่ม งง เพราะคำตอบ จะแตกต่างกันไปมากเลยที่เดียว คน กลุ่มที่ 1 และ กลุ่มที่ 2 อาจเข้าไม่ถึงอารมณ์นี้
-กลุ่มที่ 4 มีบ้านมีรถ มีเงินเก็บ เป็นหลักล้าน 5ล้าน - 20ล้าน คุณจะแปลกใจว่า คนกลุ่มนี้ ยังไม่อารมณ์ คล้าย กลุ่มที่ 3
คน กลุ่มที่ 1 และ กลุ่มที่ 2 คงยิ่ง งง มากขึ้น มีเงิน 15ล้าน ยังต้องกลัวอีกเหรอ
-กลุ่มที่ 5 มีเงินเก็บ มาก 20ล้าน -100ล้าน
-กลุ่มที่ 6 มีเงินเก็บ มาก 100ล้าน ขึ้นไป พันล้าน หมื่นล้าน
ทุกๆกลุ่ม อยู่ภายใต้ "ความวิตกกังวนอนาคต" หรือเรียกสั้นๆว่า "ความกลัวอนาคต"
เพียงแต่ รายละเอียด อาจแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม
ในขณะที่ กลุ่ม 1 - 2 ยังอยู่ภายใต้ ความกลัวแบบ "กลัวไม่มีกิน"
กลุ่ม 3 - 4 ยังอยู่ภายใต้ ความกลัวแบบ "กลัวความสุขแบบสะดวกสบายหายไป" ( รถยนต์ส่วนตัว ,นอนเปิดแอร์ ,กินอาหารร้านหรู ,เสื้อผ้าแฟชั่น )
กลุ่ม 5 - 6 กลับกลัว จะรักษามันไว้ไม่ได้ จะมีคนอื่น บริษัทอื่น มาแย่งมันไป
----------
ไม่แปลกที่เราจะมี ความวิตกกังวนต่ออนาคต ปีค.ศ.2019 ผมอายุ 51ปี เข้ามาเป็นคนกลุ่มที่ 3 พึ่งมียังไม่ครบ 10ปี วัยสี่สิบปลายๆผมก็ไม่มีอะไรเลย
พอเริ่มมีเงินเก็บหลักล้าน แล้วพึ่งมีลูก 4ขวบ ความวิตกกังวนต่ออนาคต มันก็เปลี่ยนไปอีกแบบ คิดว่าถ้าผมสามารถขยับเงินเก็บไปที่ 15-20ล้าน
คงจะดี แล้วผมก็ถามตัวเองว่าดียังไงเราจะไม่ความวิตกกังวนต่ออนาคตเหรอ ลองดูคนที่เขามีมั๊ยเขาเป็นยังไง (ก็พอรู้จักความรวยอยู่นะ) พอดูเขาแล้วไม่รู้สึกว่า
เขาดีไปกว่าเราเท่าไร ( บ้างคนคุณภาพชีวิตแย่กว่าผมอีก ผมวัดจากภาพรวมอารมณ์จิตใจ สุขภาพร่างกาย การเที่ยวพักผ่อน )
งั้นดูกลุ่ม 5 - 6 คงเทียบได้ยากเพราะรู้จักแต่ในข่าว ไม่รู้จักตัวตนจริงๆ
---------
2-3เดือน ก่อน ผมได้ดูโพสต์ในเฟสบุ๊ค (ขออภัยที่จำชื่อผู้โพสต์กับชื่อยายทวดไม่ได้) มียายทวดคนหนึ่ง อายุ 90ปี ยายทวดยังแข็งแรงมาก หูตา ก็ยังดี น้ำเสียงยังชัดสดใส ยายทวดขายกล้วยทอด
ทุกวัน ยายทวดจะ ทำกล้วยทอดแล้วเข็นรถเข็นไปขาย ยายทวดขายถูก ( ถ้าจำไม่ผิด 4-5ชิ้น ราคา10 บาท ) เท่าที่เห็น ในคลิปชิ้นก็ไม่เล็ก ทำสะอาด
คงด้วยเหตุนี้ ยายทวด ก็ขายหมดทุกวัน กำไรไม่มากแต่พอ ไว้เป็นค่าอาหารค่าน้ำค่าไฟ ส่วนทุนก็เอากลับมาซื้อ กล้วย-แป้ง-น้ำมัน-แก๊ส
*ยายทวด :
"ไม่วิตกกังวนอนาคต" =
"ไม่กลัวไม่มีกิน" เพราะยายไปขายกล้วยทอดมีเงินทุกวัน
"ไม่กลัวความสุขแบบสะดวกสบายหายไป" ยายทวด ไม่ต้องใช้เงินไปเที่ยว ไม่ไปกินอาหารหรู ไม่ได้นอนห้องแอร์ ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าสวยงาม
ไม่เสียค่าแพ็ทเก็จเน็ตมือถือแค่กดโทรรับสายได้ก็พอ
"ลูกก็แก่ บ้างคนก็ตายจากไปก่อน หลานก็โต มีเหลนแล้ว ทุกคนก็ต้องดูแลชีวิตตัวเอง"
"ไม่กลัวใครมาแย่งกิจการ"
---------
** เขียนไว้เตือนใจตัวเองด้วย บ้างวัน ผมก็เกิด ความวิตกกังวนต่ออนาคต ขึ้นมาอีก ก็ไม่รู้เพราะอะไร คงเป็นธรรมชาติของคน
** ความวิตกกังวนต่ออนาคต ทำให้เรารู้จักดิ้นรนเตรียมตัว แต่ถ้ามีมากไปก็กลายเป็นทุกข์โดยไม่จำเป็น
และอีกแง่มุม เวลา ทำธุรกิจส่วนตัว
ธุรกิจคุณ
มีความเสี่ยงแบบไหน
1.
High Risk High Return , ความเสี่ยงสูง
- กำไรสูง
2.
Low Risk Low Return , ความเสี่ยงต่ำ
– กำไรต่ำ
3.
High Risk Low Return , ความเสี่ยงสูง
- กำไรต่ำ
4. Low
Risk High Return , ความเสี่ยงต่ำ –
กำไรสูง
ห้างสรรพสินค้า
, ร้านโชว์ห่วย
อย่าง 7-11
จะค่อยวิเคาะห์
ว่าสินค้าไหน อยู่จุดไหน
และเมื่อเวลาผ่านไป
สินค้าหลายตัวจะเปลี่ยนสถานะภาพ
พวกเขาจะค่อยกำจัดสินค้า ที่เปลี่ยนเข้าสู่ “ความเสี่ยงสูง
- กำไรต่ำ” ออกไป และค่อยเปลี่ยนตำแหน่งโชว์สินค้า
และ โปรโมชั่น ตามสถานะการณ์
แต่ถ้า ธุรกิจคุณ
ไม่ได้มีสินค้าความหลากหลาย
แล้วดันอยู่ที่ “ความเสี่ยงสูง
- กำไรต่ำ”
ละ
ผมเคยเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนที่ทำงานเป็นพนักงานบริษัทฟัง
ผมบอกว่าที่ผ่านมาผมไปหาประสพประการณ์
และ (
หลังจากผ่านไปเป็น10ปี)
ประเมินผลตัวเองได้ว่า
ธุรกิจที่ทำและเปลี่ยนไปมา
ทั้งหมดอยู่ในสถานะ “ความเสี่ยงสูง
– กำไรต่ำ” เพื่อนผมถามว่า
ธุรกิจ “ความเสี่ยงสูง –
กำไรต่ำ” ใครจะบ้าไปทำ
ในตอนนั้น
ผมตอบเพื่อนว่า อธิบายยาก
ผมยังไม่สามารถเรียบเรียงตอบเป็นอะไรสั้นให้เข้าใจได้
ให้เข้าลองไปถาม
เพื่อนรุ่นพี่ ที่เปิดบริษัททำอยู่สิ
พวกเขาเป็นกลุ่มนักวิชาการ
อาจจะสรุปเป็นคำตอบสั้นๆให้ได้
และธุรกิจของเขาก็อยู่ในกลุ่ม
“ความเสี่ยงสูง -
กำไรต่ำ” เหมือนกัน
เหมือนว่า คำถามผม
ถูกส่งผ่านจากเพื่อนที่ผมคุยด้วย
ไปสู่เพื่อนอีกคนและมันเข้าไปกลุ่มในบริษัท
ที่มีแต่นักวิชาการ
จากนั้นพวกเขาสรุปเป็น
คำจำกัด ความสั้นๆ ออกมา
เป็นคำตอบรอยๆ
ไม่ทวนคำถามเมื่อตอนผมเดินเข้าไปเยี่ยมบริษัทว่า
“ความเสี่ยงสูง – กำไรต่ำ
พวกเราทำไมว่ะ 555
นั้นสิ คงเพราะว่าถ้าไม่ทำงานพวกนี้
ก็ไม่ยังรู้ว่าจะทำอะไร
ที่ดีกว่านี้ เลยทำไปก็มั๊ง
555”